องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

เบบี้แครอท

ชื่อวิทยาศาสตร์    Daucas carota

ชื่อสามัญ  Baby Carrot

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ : [1]

ลักษณะทั่วไป เบบี้แครอทจัดอยู่ในวงศ์ Apiaceae (Umbelliferae) มีรูปทรงยาวรี โคนใหญ่ ปลายเรียวแหลม หัวมีสีส้ม เนื้อแข็งกรอบเป็นพืชกินส่วนรากที่เติบโตเป็นหัว ปลูกในพื้นที่ขนาดเล็กได้ ให้ผลตอบแทนสูงใช้เวลาในการปลูกสั้น ต้องการการเอาใจใส่อย่างดี

การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร 

แครอทเป็นพืชที่อุดมไปด้วยสาร Beta carotene โดยเฉพาะบริเวณส่วนของเปลือกแก่ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอสูง (11,000 IU) นอกจากนี้ยังมีวิตามิน บี 1 บี 2 และวิตามินบี  วิตามินเอ ช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิต่อต้านโรคหวัด ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันอาการผิดปกติในกระดูก โรคผิวหนังและรักษาสายตานิยมรับประทานสด ในสลัด หรือนำมาประกอบอาหารชนิดอื่น ๆ เช่น ผัด ต้มซุป ใส่แกงจืด ใช้ทำส้มตำแบบมะละกอ คั้นสดรับประทานเป็นน้ำเพื่อสุขภาพ และช่วยเพิ่มสีสรรในจานอาหาร

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม :  [1]

แครอทเจริญได้ดีในเขตหนาว โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 25-28 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูงกว่า 28 องศาเซลเซียส จะทำให้การเจริญทางใบลดลง สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญของหัวอยู่ระหว่าง 18-21 องศาเซลเซียส หากมีความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างผิวดินและระดับดินที่ลึกลงไป 10-15 เซนติเมตร มาก จะทำให้รูปทรงของหัวไม่สม่ำเสมอ แครอทเป็นพืชที่ต้องการแสงมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 9-14 ชั่วโมง/วัน แครอทเจริญได้ดีในดินละเอียด และร่วนซุย หน้าดินลึก มีอินทรีย์วัตถุสูง ระบายน้ำได้ดี ความเป็นกรด-ด่างของดิน 6.5-7.5 การปลูกในดินเหนียว หรือโครงสร้างดินแข็งจะทำให้หัวแตก มีรูปทรงผิดปกติ หากแปลงปลูกมีความชื้นสูง หัวจะมีแผลสีดำเน่า


การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆของการเจริญเติบโต : [1]

การเตรียมดิน ขุดดินตากแดดนาน 14 วัน ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร คลุกปูนขาวอัตรา 0-50 กรัม/ต.ร.ม และปุ๋ยสูตร 15 - 15 – 15 อัตรา 50 กรัม/ต.ร.ม ลงในดิน

การปลูก ปลูกโดยหยอดเมล็ด กำจัดวัชพืช และขุดดินตากแดดนาน 14 วัน ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร คลุกปูนขาว และปุ๋ยสูตร 15 - 15 – 15 อัตรา 50 กรัม/ต.ร.ม ลงในดิน ปรับหน้าแปลงให้เรียบ ขีดร่องหยอดเมล็ด ลึก 1 ซม กลบเมล็ดและรดน้ำ

การให้น้ำ ควรให้น้ำในแปลงอย่างสม่ำเสมอ ทุกวันระยะต้นอ่อนช่วยในการงอกของเมล็ดแล้วลดเหลือ 2-3 วัน/ครั้ง

การให้ปุ๋ย หลังจากเมล็ดงอก มีใบจริงได้ 2 – 5 ใบ หรือประมาณ 15 – 20 วันหลังจากปลูก ถอนแยกให้มีระยะห่าง ระหว่างต้น 3 ซม. หลังจากนั้น ใส่ปุ๋ย 15- 15 – 15 อัตรา 50 กรัม/ต.ร.ม พร้อมกำจัดวัชพืช หลังจากการใส่ปุ๋ยครั้งแรก 15 – 20 วัน ใส่ปุ๋ย 13 – 13 – 21 อัตรา 50 กรัม/ต.ร.ม โรยในร่องลึก 2 – 3 ซม.

ข้อควรระวัง

  1. การหยอดเมล็ดอย่าให้เมล็ดที่หยอดติดกัน ระยะห่างประมาณ 1 ซม.
  2. ควรให้น้ำสม่ำเสมออย่าให้แฉะเกินไป
  3. ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อการเตรียมแปลงปลูกและถอนแยก

การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว : [2]

ช่วงเก็บเกี่ยว ทยอยเก็บเกี่ยวเมื่อพืชมีอายุ 60 – 90 วัน

การเก็บเกี่ยว

1. เก็บเกี่ยวโดยการขุด เมื่ออายุและขนาดเหมาะสมต่อการนำไปบริโภค

2. ตัดใบให้เหลือก้านใบยาว 3 เซนติเมตร

3. ล้างรากให้สะอาด แล้วผึ่งให้แห้ง ระวังอย่าให้ผิวถลอกบอบช้ำ

4. จัดชั้นคุณภาพและคัดรากที่มีตำหนิ หรือรูปร่างผิดปกติทิ้ง

5. บรรจุตะกร้าพลาสติกที่กรุด้วยกระดาษทั้งตะกร้า

6. ขนส่งโดยรถธรรมดาหรือรถห้องเย็น

ข้อกำหนดเรื่องคุณภาพ คุณภาพขั้นต่ำ เป็นเบบี้แครอทที่สมบูรณ์ทั้งรากและมีก้านใบติดมาตามที่กำหนด มีรูปร่าง ลักษณะและสีตรงตามพันธุ์ ไม่มีตำหนิหรือรากที่ผิดรูปทรง ผิวเรียบ ไม่แตกแขนง สด สะอาด ปลอดภัยจากสารเคมี

 การจัดชั้นคุณภาพ

ชั้นหนึ่ง 1. รากมีเส้นผ่าศูนย์กลางบริเวณไหล่ 1 – 1.5 เซนติเมตร ความยาว 10 – 12 เซนติเมตร

      2. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ชั้นสอง  1. รากมีเส้นผ่าศูนย์กลางบริเวณไหล่ 1 – 2 เซนติเมตร ความยาว 10 – 13 เซนติเมตร

      2. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ชั้น U  1. รากมีเส้นผ่าศูนย์กลางบริเวณไหล่ 1 – 2 เซนติเมตร ความยาว 8 – 13 เซนติเมตร

      2. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ข้อกำหนดในการจัดเรียง เบบี้แครอทในภาชนะบรรจุเดียวกันต้องเป็นพันธุ์เดียวกัน เป็นชั้นคุณภาพเดียวกันและมีคุณภาพสม่ำเสมอกัน

การเตรียมสู่ตลาด

1. ตัดแต่งก้านใบและปลายรากออก

2. บรรจุในถุงพลาสติกเจาะรู

การเก็บรักษา อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 98 - 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถเก็บรักษาได้นาน 4 – 6 สัปดาห์


เอกสารอ้างอิง :

[1] หนังสือเรื่องการปลูกผักบนพื้นที่สูง

[2] ตุลาคม 2545.คู่มือการจัดชั้นคุณภาพผัก.กองพัฒนาเกษตรที่สูง สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์