องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

กะหล่ำปลี

 

 

ชื่อสามัญ (ไทย) กะหล่ำปลี

ชื่อสามัญ (อังกฤษ Common name) Cabbage

ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) Brassica oleracea var.capitata                

family (วงศ์ / ตระกูล) Cruciferae (ตระกูลกะหล่ำ)

Genus (สกุล) Brassica

Species B.oleracea var.capitata

 

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ : [1]

ลักษณะทั่วไป กะหล่ำปลีเป็นผักกินใบชนิดห่อหัว หวาน กรอบ ใบมีสีเขียว มีวิตามินซี เค,อี,โพแทสเซียม และอื่นๆ รวมทั้งใยอาหาร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นิยมรับประทานสด อีกทั้งนำมาประกอบอาหารได้ทั้งผัด แกง ลวก ซุปผัก นึ่ง

การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร 

กะหล่ำปลีเป็นพืชที่มีเยื่อใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน (สาร indoles ซึ่งเป็นผลึกที่แยกมาจาก trytophan; กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย) คาร์โบไฮเดรต โซเดียม วิตามินซีซึ่งพบค่อนข้างมากกว่ากะหล่ำปลีสีเขียวถึงสองเท่า ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน มีสารซัลเฟอร์ (sulfer) ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่และต้านสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย การกินกะหล่ำปลีบ่อย ๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งในช่องท้อง ลดระดับคลอเรสเตอรอลและช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับได้ดี น้ำกะหล่ำปลีคั้นสด ๆ ช่วยรักษาโรคกะเพาะ อย่างไรก็ตามกะหล่ำปลีมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า goitrogen เล็กน้อย ถ้าสารนี้มีมากจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ดังนั้นไม่ควรกินกะหล่ำปลีสด ๆ วันละ 1 - 2 กก. แต่ถ้าสุกแล้วสาร goitrogen จะหายไป นิยมรับประทานสด เช่น ใส่สลัด หรือนำมาตกแต่งจานอาหาร การนำมาประกอบอาหารไม่ควรผ่านความร้อนนาน เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินและคุณค่าอาหาร

 

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม :  [1]

กะหล่ำปลีแดงสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด โดยเฉพาะดินที่มีลักษณะโปร่งและร่วนซุย มีความชื้นในดินและมีค่าความเป็นกรด - ด่าง อยู่ในช่วง 6 - 6.5 สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 15 - 20 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส อัตราการเจริญและผลผลิตจะลดลง อย่างไรก็ตามระดับอุณหภูมิอาจมีผลกระทบแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สำหรับการให้น้ำควรให้อย่างพอเพียง เนื่องจากกะหล่ำปลีเป็นพืชที่ต้องการความชื้นในดินมาก หากความชื้นในดินต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้ผลผลิตลดลงกว่าปกติ 20 - 30 เปอร์เซ็นต์ ระยะที่กะหล่ำปลีต้องการน้ำมากที่สุด ได้แก่ ระยะการเจริญเติบโตเต็มที่และระยะเริ่มห่อปลี

การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆของการเจริญเติบโต : [1]

การเตรียมกล้า เพาะกล้าแบบประณีตในถาดหลุมหรือเพาะในแปลงก็ได้ อายุกล้าไม่ควรเกิน 25 วัน หากเพาะในแปลง ควรมีตาขายกันฝนกระแทก และควรใช้เชื้อราไตรโครเดอร์มา คลุกวัสดุเพาะเพื่อป้องกันโรคโคนเน่า หากไม่ได้เพาะในวัสดุปลูกสำเร็จรูป และฉีดพ่นเซฟวิน ป้องกันมด แมลง ทำลายเมล็ดพันธุ์

การเตรียมดิน ขุดดินตากแดด อย่างน้อย 14 วัน โรยปูนขาวอัตรา 0 – 100 กรัม /ตร. ม.

การปลูก ขึ้นแปลงกว้าง 1–1.5 เมตร สำหรับฤดูฝนให้แปลงสูงกว่าปกติ 30 – 50 ซม. เพื่อการระบายน้ำ รองพื้นด้วยปุ๋ยเคมี 12–24–12 อัตรา 30 กรัม/ตร.ม. ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก อัตรา 2 – 4 กิโลกรัม/ตร.ม. ระยะปลูก ฤดูฝนและฤดูหนาว 40 x 40 ซม. ฤดูแล้ง 40 x 30 ซม.

ข้อควรระวัง

  1. เป็นพืชที่มีความต้องการปุ๋ยปริมาณมาก โดยเฉพาะปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก
  2. ควรรองพื้นก่อนปลูกด้วยโบแรกซ์

การให้น้ำ ใช้สปิงเกอร์

การให้ปุ๋ย ประมาณ 5 – 7 วัน ควรมีการปลูกซ่อมกล้าที่ตาย เมื่อย้ายปลูกได้ 7–10 วัน ใส่ปุ๋ย 15–15–15 และ 21–0–0 อย่างละ 20 – 25 กรัม/ตร.ม. และใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 เมื่ออายุได้ 25 – 30 วัน และใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 เมื่อเริ่มเข้าหัว มีอายุ 45 – 50 วัน พร้อมกำจัดวัชพืช แล้วพ่นสารเคมีป้องกันศัตรูพืช ถ้ามีพบการเข้าทำลายของศัตรูพืช

ข้อควรระวัง

  1. ควรหลีกเลียงพื้นที่ฝนตกชุก และมีน้ำขัง แสงแดดน้อย
  2. เป็นพืชที่ต้องการปุ๋ยในปริมาณที่มาก หากปุ๋ยไม่เพียงพอจะทำให้อายุการเติบโตยาวนานมากขึ้น

การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว : [2]

ช่วงเก็บเกี่ยว เมื่ออายุ 60 – 70 วัน หลังย้ายกล้าปลูก ห่อหัวแน่นพอดี เก็บเกี่ยวเมื่ออายุและขนาดเหมาะสม ควรมีใบห่อหุ้มไม่เกิน 3 ใบ คัดเลือกหัวที่มีตำหนิทิ้ง ทาด้วยปูนแดงที่รอยตัดและผึ่งให้แห้ง บรรจุในตะกร้าพลาสติกโดยมีกระดาษกรุรองทั้งตระกร้า

ข้อกำหนดเรื่องคุณภาพ คุณภาพขั้นต่ำ เป็นกะหล่ำปลีทั้งหัว มีรูปร่างและสีตรงตามพันธุ์ สด สะอาด ไม่มีตำหนิจากโรคหรือแมลง ไม่แทงช่อดอก ตัดแต่งให้เหลือใบนอก 2 – 3 ใบ ปลอดภัยจากสารเคมี

 การจัดชั้นคุณภาพ


ชั้นหนึ่ง 1. มีน้ำหนัก 700 – 1500 กรัม

      2. เข้าหัวแน่น

      3. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ชั้นสอง 1. มีน้ำหนัก 500 – 700 กรัม

      2. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ชั้น U  1. มีน้ำหนักต่ำกว่า 500 กรัม

      2. มีตำหนิได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนหัวในภาชนะบรรจุ

      3. ปลอดภัยจากสารเคมี

ข้อกำหนดในการจัดเรียง กะหล่ำปลีในภาชนะบรรจุเดียวกันต้องเป็นชั้นคุณภาพเดียวกัน พันธุ์เดียวกัน และมีคุณภาพสม่ำเสมอ

การเก็บรักษา  อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 98 – 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถเก็บรักษาได้นาน 3 – 6สัปดาห์

ช่วงเวลาที่มีผลผลิต : ม.ค. - ธ.ค.

 


เอกสารอ้างอิง :

[1] หนังสือเรื่องการปลูกผักบนพื้นที่สูง

[2] ตุลาคม 2545.คู่มือการจัดชั้นคุณภาพผัก.กองพัฒนาเกษตรที่สูง สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์