โรคพืชในฤดูหนาว...เกษตรกรป้องกันได้
โรคพืชในฤดูหนาว...เกษตรกรป้องกันได้
ฤดูหนาว...เป็นอีกฤดูหนึ่งที่มีการท่องเที่ยวของหลากหลายจังหวัดในภาคเหนือ ผลไม้เมืองหนาวนานาพรรณ อาทิเช่น สตรอว์เบอร์รี่ และ อะโวคาโด แต่อาจจะยังมีเกษตรกรอีกหลายท่านที่ยังคงมีความเข้าใจว่า “โรคพืชบนพื้นที่สูงในช่วงฤดูหนาว” จะลดลงในช่วงฤดูหนาว แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น โรคพืชสามารถระบาดได้กับพืชเศรษฐกิจ วันนี้เรามีคำตอบว่าแต่ละโรคพืชมีสาเหตุและการแก้ไขอย่างไร
โรคที่มักเกิดกับพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงในฤดูหนาว คือโรคพืชที่มักเกิดจากเชื้อราเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากในฤดูหนาวนั้นสภาพอากาศจะร้อนและแห้งในช่วงกลางวัน และจะเย็นลงในช่วงกลางคืนหรืออาจมีหมอกในช่วงเช้ามืด สิ่งที่ตามมาคือความชื้น รวมถึงอาจมีลมแรง จึงทำให้มีการระบาดของโรคพืชได้อย่างรวดเร็ว โดยตัวการของเรื่องนี้นั่นก็คือเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นและชื้นนั่นเอง โดยเชื้อราหรือแบคทีเรียดังกล่าวจะสามารถสร้างความเสียหายต่อพืชผลได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ตัวอย่างโรคพืชที่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาว ได้แก่
เริ่มกันที่โรคแรก นั่นก็คือ โรคโคนเน่ารากเน่าจากเชื้อราไฟทอปธอรา (Phytophthora) เกิดจากเชื้อรา Phytophthora ในดินที่แพร่กระจายในสภาพดินระบายน้ำไม่ดี มีน้ำขัง ในหน้าหนาวพื้นที่สูงนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ แต่การระบาดมักรุนแรงในช่วงฤดูฝนที่มีความชื้นสูงมากกว่า โดยเชื้อจะทำลายราก ทำให้รากมีลักษณะที่เน่าดำ เปื่อยยุ่ย ชุ่มน้ำ ใบสีเหลือง เหี่ยวเฉา ซีด และใบร่วง ต่อมาอาการจะลุกลามมาที่โคนต้น ทำให้เปลือกและโคนต้นเน่า โคนต้นจะมีอาการเน่าเป็นสีน้ำตาลหรือดำร่วมด้วย และมีการไหลของยางสีเหลือง ทำให้พืชแคระแกร็นหรือยืนต้นตายได้ พบในพืชตระกูลถั่ว ข้าวโพด และพืชตระกูลแตง
โรคที่สอง นั่นคือ โรคเหี่ยวเขียว (Bacterial wilt) ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum เชื้อสามารถอยู่รอดในวัสดุพาหะได้นาน ทำให้ระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยสภาพอากาศหนาวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย โดยโรคที่เกิดขึ้นในฤดูหนาวนั้นจะไม่สามารถควบคุมได้ด้วยสารเคมีโดยตรง อาการเด่นของโรค คือ พืชจะมีอาการเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็วในขณะที่ใบยังคงมีสีเขียวอยู่ ไม่ได้เหลืองหรือแห้งตายในทันที หากปล่อยไว้จนเชื้อลาม เมื่อถอนต้นขึ้นมาจะพบว่าเกิดอาการเน่าขึ้นที่ราก ภายในลำต้นจะกลวง เนื่องจากถูกเชื้อทำลายเนื้อเยื่อและตายในที่สุด พบในพืชตระกูลพริก มะเขือ และแตงกวา
โรคที่สาม คือ โรคราน้ำค้าง (Downy mildew) โรคนี้สามารถเกิดในฤดูหนาวได้เช่นกัน
มีสาเหตุจากเชื้อรา คือ Pseudoperonospora cubensis และ Peronospora parasitica ผนวกกับ
สภาพอากาศที่เย็นและความชื้นสูงที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราดังกล่าว อาการคือ จุดสีเหลืองถึงน้ำตาลบนใบ และอาจพบขุยสีขาวเทาใต้ใบในตอนเช้าที่มีความชื้นสูง มักพบในพืชตระกูลแตง อาทิเช่น แตงกวาญี่ปุ่น แตงโม มะระ ฟักทอง และพืชตระกูลกะหล่ำ อาทิเช่น คะน้า กะหล่ำปลี
และมาถึงโรคสุดท้าย นั่นคือ โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose) เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum sp. สามารถเข้าทำลายทุกส่วนของต้นพืช ดังนั้น การป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสจึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะสตรอว์เบอร์รี ควรที่จะต้องเริ่มป้องกันโรคตั้งแต่ระยะเตรียมไหลสำหรับเป็นกล้าปลูก เพราะเชื้อโรคบนต้นกล้าคือแหล่งเพาะเชื้อให้แพร่กระจายไปตลอดแปลงหลังปลูกไหล ลามไปจนถึงผล เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว การใช้สารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนส ก็ควรระวังความเสี่ยงเรื่องสารเคมีตกค้างบนผลผลิต โดยโรคดังกล่าวพบได้ใน สตรอว์เบอร์รี อะโวคาโด มะม่วง ลำไย ทุเรียน ผักกินใบ พริก และกุหลาบ
การป้องกันและจัดการ แนะนำปลูกพืชให้มีระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อลดความชื้นระหว่างต้นพืช การตัดแต่งกิ่งและใบที่เป็นโรคเพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อรา ดูแลแปลงปลูกให้มีการระบายอากาศที่ดีเพื่อลดความชื้น ควบคุมช่วงเวลาในการให้น้ำอย่างเหมาะสมเพื่อให้ใบพืชแห้งเร็ว รวมถึงการพ่นสารเคมีป้องกันเชื้อราแต่ก็อาจจะต้องสลับการใช้สารเคมีเพื่อลดความเสี่ยงที่พืชจะดื้อยาได้ ดังนั้นการใช้ชีวภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ทำให้พืชดื้อยานั้นจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
ภูมิใจที่จะนำเสนอ “ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช” ผลิตภัณฑ์ใหม่จากผลงานวิจัยที่สามารถควบคุมโรคในพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาโรคพืชถึง 5 ชีวภัณฑ์ ได้แก่
1. ไตรโค-อาร์ (รูปที่ 2) ใช้ป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Phytophthora ใช้อัตรา 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ ฉีดพ่นใบพืชและโคนต้น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง พ่นในเวลาเย็น
2. บี10-อาร์ (รูปที่ 4) ป้องกันโรคเหี่ยวเขียวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในพืชตระกูลพริกมะเขือ ใช้ในอัตรา 1 กรัม ต่อ ต้น ใช้รองก้นหลุม 2 หรือ 3 ครั้ง โดยใช้หลังย้ายปลูกทันที 1 ครั้ง และโรยรอบโคนต้น หลังย้ายปลูก 7 วัน อีก 1 ครั้ง รวมถึงช่วงเริ่มติดดอกอีก 1 ครั้ง
3. พีพี-บีเค33 (รูปที่ 6) ใช้ป้องกันโรคราน้ำค้าง (Downy mildew) ใช้อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พ่นในเวลาเย็น
4. พีพี-บี15 (รูปที่ 8) ใช้ป้องกันโรคผลเน่าหรือโรคแอนแทรคโนสที่เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum sp. โดยใช้ฉีดพ่นทางใบและต้น อัตรา 200 กรัม ละลายน้ำ 20 ลิตร ละลายและผสมสารจับใบ แล้วนำไปพ่นทั่วต้น
5. พีพี-สเตร็บโต (รูปที่ 9) ใช้ป้องกันโรคโคนเน่ารากเน่าจากเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้อัตรา 1 กรัมต่อต้นสำหรับรองก้นหลุมก่อนปลูก และอัตราส่วนชีวภัณฑ์ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 ต่อ 2 สำหรับคลุกเมล็ดพันธุ์พืช
ถามว่า ทำไมต้องใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช? เพราะว่า โรคพืชเศรษฐกิจบนพื้นที่สูงในหน้าหนาว
บางโรคนั้นไม่สามารถควบคุมได้ด้วยสารเคมีโดยตรง อาทิเช่น โรคเหี่ยวเขียว (Bacterial wilt) อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นการใช้ชีวภัณฑ์ในการกำจัดเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ในพืช จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
สีเขียวที่น่าสนใจ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดการดื้อยาในพืชอีกด้วย หากสนใจสินค้า ติดต่อ
โรงชีวภัณฑ์ มูลนิธิโครงการหลวง 243/8 หมู่ 3 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100
เบอร์โทรศัพท์และโทรสาร 0 5311 4218 และมีการวางจำหน่ายบนร้านค้าออนไลน์แล้ว อาทิ Lazada Shopee Line shopping เสิร์ชเลย! www.biopesticides.hrdi.or.th
แหล่งที่มาของเนื้อหา
1. https://songsangjun.com/โรคพืชเชื้อราฤดูหนาว/
2. https://swionictech.com/winter-plant-diseases/
3. https://qyield.com/article/view.php?id=55
4. https://www.aggrogroups.com/th/news/pest-problem/255-journal10-
5. https://kasetlove.com/control-downy-mildew/
6. https://www.opsmoac.go.th/sisaket-article_prov-preview-
7. https://tabinnovation.co.th/ดูบทความ-118209-ระวังโรคเหี่ยวเขียวกับพืชที่ปลูกในสภาพโรงเรือนยาสูบ
8. https://songsangjun.com/โรคแอนแทรคโนส/
9. https://www.doa.go.th/hort/
เขียน/ เรียบเรียงเรื่องโดย : นายกวีวัฒน์ บุญคาน และ นายวงศ์รวี วัฒนวงศาโรจน์
ออกแบบและเผยแพร่สื่อออนไลน์โดย เนตรชนก สายคง สำนักยุทธศาสตร์และแผน




