การผลิตหัวพันธุ์กระเทียมโดยลดการใช้ปุ๋ยเคมี
กระเทียม (Garlic; Allium sativum Linn.) เป็นพืชสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารไทย
โดยปลูกมากในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็นเหมาะสมกับการปลูกกระเทียม (ไฉน, 2542) โดยมีพื้นที่ปลูก 70,927 ไร่ หรือร้อยละ 98 ของพื้นที่ปลูกกระเทียมทั้งประเทศ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2561) ปัจจุบันหัวพันธุ์กระเทียมไทยมีราคาสูงหรือมีปริมาณจำกัด เนื่องจากเกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อเร่งให้กระเทียมหัวใหญ่ มีน้ำหนักมากทำให้สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น ประกอบกับปัญหาเรื่องโรคและแมลงส่งผลต่อคุณภาพทำให้หัวฝ่อ อายุการเก็บรักษาสั้น ถูกกดราคารับซื้อและที่สำคัญคือขาดแคลนหัวพันธุ์กระเทียมสำหรับปลูกในฤดูถัดไป ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน (2557) รายงานว่าการจัดการธาตุอาหารโดยตรวจวิเคราะห์ดินก่อนปลูก แล้วใส่ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ปรับค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน และใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ สามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีได้ถึงร้อยละ 50 ทั้งยังทำให้ได้ผลผลิตกระเทียมเพิ่มขึ้นไร่ละ 200 กก. ดังนั้นเพื่อให้เกษตรกรมีหัวพันธุ์กระเทียมที่มีคุณภาพและมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวขึ้น ไม่ฝ่อ ตลอดจนมีกระเทียมที่ปลอดภัยจากสารเคมีสำหรับบริโภค ทางโครงการวิจัยจึงศึกษาและทดสอบวิธีการผลิตหัวพันธุ์กระเทียมที่เหมาะสำหรับพื้นที่สูงโดยลดการใช้ปุ๋ยเคมีและทดแทนด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการซื้อหัวพันธุ์โดยการเก็บรักษาหัวพันธุ์กระเทียมจากแหล่งเดิมสำหรับปลูกในฤดูถัดไปได้
ขั้นตอนการผลิตหัวพันธุ์กระเทียม ดังนี้
1. การเตรียมแปลงปลูก
- ดินที่เหมาะสำหรับปลูกกระเทียมควรเป็นดินร่วน มีค่า pH ดิน 6-7 (กลาง) มีอินทรียวัตถุ 4-5%
- ไถเตรียมดิน 2 รอบ คือ รอบที่ 1 ไถดะพลิกหน้าดิน ตากดินไว้ 7-10 วันเพื่อทำลายไข่แมลง ศัตรูพืช และวัชพืช และไถรอบที่ 2 คือ ไถพรวนดินให้มีขนาดเล็กลง พร้อมปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 25 กก./ไร่ และมูลสุกร 200 กก./ไร่ เกลี่ยดินในแปลงให้เรียบ เก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงให้หมด
- ขึ้นแปลงยกสูง 15 เซนติเมตร ขนาดกว้าง 2 – 2.5 เมตร ความยาวตามพื้นที่ปลูก
- ระยะห่างระหว่างแปลงปลูก ยกร่องทำทางเดินหรือระบายน้ำกว้าง 20 เซนติเมตร
2. การเตรียมกลีบกระเทียม
- ปอกเปลือกหัวพันธุ์กระเทียม แกะกลีบ คัดเลือกเฉพาะกลีบนนอกที่มีขนาดใหญ่ ไม่มีแมลงทำลาย
3. การปลูกและดูแลรักษา
- ก่อนปลูกกระเทียม ให้น้ำในแปลงจนดินอิ่มตัวด้วยน้ำ (ไม่แห้งหรือแฉะเกินไป)
- จิ้มกลีบกระเทียมลงไปในดินลึกประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบ โดยให้ส่วนของรากลงดินหากกลับด้านปลูกจะทำให้กระเทียมไม่งอก ระยะปลูก 15 x 15 ซม.
- หลังปลูกกระเทียมใช้ฟางข้าวคลุมแปลงเพื่อควบคุมวัชพืช รักษาความชื้นและลดความร้อนในเวลากลางวัน ควรคลุมฟางให้หนาพอปิดผิวหน้าดิน ไม่ควรคลุมฟางบางจะทำให้ดินแห้งเร็ว และวัชพืชขึ้นมาก แต่หากคลุมฟางหนาจนเกินไปทำให้ใบกระเทียมไม่สามารถโผล่พ้นฟางได้และทำให้กระเทียมเน่า
- ให้น้ำกระเทียม สามารถให้ได้ 2 แบบ คือ แบบไหลผ่านท่วมแปลงแล้วระบายออก หรือให้น้ำแบบสปริงเกอร์ ในช่วงระหว่างเจริญเติบโต 7-10 วัน/ครั้ง โดยสังเกตจากหน้าดินที่เริ่มแห้ง หรือขอบใบกระเทียมเริ่มแสดงอาการใบม้วนเหี่ยว
- กำจัดวัชพืชโดยใช้มือถอน ควรกำจัดวัชพืชสม่ำเสมอตั้งแต่ปลูกจนกระทั่งกระเทียมอายุ 2 เดือน ซึ่งกระเทียมจะเริ่มสร้างหัวเมื่ออายุ 2 เดือน การกำจัดวัชพืชตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยลดการกระทบกระเทือนส่วนรากและหัวกระเทียม เนื่องจากกระเทียมเป็นพืชที่มีรากตื้น
4. การใส่ปุ๋ย
- กระเทียมอายุ 30 วัน หลังปลูก ใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 25 กก./1 ไร่
- กระเทียมอายุ 60 วัน หลังปลูก ใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 25 กก./1 ไร่ พ่นฮอร์โมนไข่ 30 cc. /น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน
- กระเทียมอายุ 90 วัน หลังปลูก ใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 25 กก./1 ไร่
5. การเก็บเกี่ยวกระเทียม
- หัวกระเทียมแก่พร้อมเก็บเกี่ยว สังเกตจากปลายใบที่เริ่มแห้ง หรือเกิดดอกตรงบริเวณลำต้นกระเทียม
- ถอนหัวกระเทียมด้วยมือ มัดจุกกระเทียมโดยจับรวบปลายใบมัดเข้าหากัน
- แขวนจุกระเทียมสดในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้กระเทียมแห้ง ไม่ควรโดนน้ำหรือฝน
เขียน / เรียบเรียงเรื่องโดย: ดร.จันทร์จิรา รุ่งเจริญ