องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

ปลูกองุ่นปลอดภัย ต้องทำอย่างไร...

      การปลูกองุ่นในประเทศไทยสามารถให้ผลผลิตที่มีคุณภาพได้ แต่ไทยเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้น จึงมักพบโรคและแมลงศัตรูที่สำคัญที่สร้างความเสียหายให้กับองุ่น เช่น โรคราน้ำค้าง โรคราแป้ง โรคแอนแทรคโนส เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง และหนอนกระทู้ เป็นต้น ทำให้เกษตรกรใช้สารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูองุ่นในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (Integrated Pest Management; IPM) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชที่เป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อม เป็นการเลือกใช้วิธีการจัดการศัตรูพืชตั้งแต่ 2 วิธีการขึ้นไปมาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม เป็นการลดการใช้สารเคมีเกษตรในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช หรือใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อลดระดับปริมาณศัตรูพืชให้อยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ และเกิดความสมดุลของระบบนิเวศ โรคและแมลงศัตรูองุ่นที่สำคัญ ได้แก่


โรคราน้ำค้าง (Downy mildew)


เชื้อสาเหตุ :               Plasmopara viticola

ลักษณะอาการ :         เป็นขุยสีขาวที่ใต้ใบองุ่น ด้านบนใบจะเห็นเป็นสีเหลืองเป็นจ้ำๆ ถ้าเป็นรุนแรงใบจะไหม้ ช่อดอกและผลอ่อนเหี่ยวแห้ง

การระบาด :              ระบาดในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงที่มีความชื้นสูง

การป้องกันกำจัด :       

  1. หมั่นตรวจสอบแปลงและป้องกันกำจัดตั้งแต่เริ่มพบโรค
  2. กำจัดวัชพืชในโรงเรือนและรอบโรงเรือน
  3. งดให้น้ำในช่วงเย็น
  4. การใช้สารปลอดภัย ได้แก่ ชีวภัณฑ์ของเชื้อราไตรโคเดอร์มา เช่น พีพี-ไตรโค อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ทุก 5 วัน (ควรฉีดพ่นในช่วงเวลาเย็นและหลีกเลี่ยงช่วงที่มีแสงแดดจัด)
  5. การใช้สารเคมี ควรสลับใช้สารเคมีที่มีสารออกฤทธิ์คนละชนิดกัน และอัตราที่ใช้ตามฉลาก ได้แก่

      - โพรพิเนบ เช่น แอนทราโคล เอราแทร็ค

      - แมนโคเซบ เช่น แมนโคเซบ ไดเทนเอ็ม-45 แมนเซทดี เพนโคเซบ

      - เมทาแลคซิล เช่น เมทาแลกซิล ไอยราแลกซิล

      - เมทาแลคซิล+แมนโคเซบ เช่น ริดโดมิล โกล์ด

      - ไดเมทโธมอฟ เช่น ฟอรัม

      - อะซอกซีสโตรบิน เช่น อะมิสตา ลูมินัส

โรคราแป้ง (Powdery mildew)


เชื้อสาเหตุ :               Oidium tuckeri

ลักษณะอาการ :         เป็นขุยแป้งขี้เถาสีขาว เกิดบนใบ กิ่ง และผล

การระบาด :              ระบาดในช่วงปลายฤดูฝน-ฤดูหนาว

การป้องกันกำจัด :       

  1. หมั่นตรวจสอบแปลงและป้องกันกำจัดตั้งแต่เริ่มพบโรค
  2. กำจัดวัชพืชในโรงเรือนและรอบโรงเรือน
  3. การใช้สารปลอดภัย

       - ซิลิกอน อัตรา 140 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน ในระยะหลังดอกบาน-ผลเริ่มเปลี่ยนสีเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์พืช

       - ปิโตรเลียมออยล์ อัตรา 40 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ร่วมกับ ผงฟู อัตรา 150 กรัม/น้ำ 20 ลิตร (ผสมกันได้) ทุก 7 วัน ในระยะก่อนเก็บเกี่ยว

 4. การใช้สารเคมี ควรสลับใช้สารเคมีที่มีสารออกฤทธิ์คนละชนิดกัน และอัตราที่ใช้ตามฉลาก

       - กำมะถัน (ห้ามผสมกับปิโตรเลียมสเปรย์ออยล์และพ่นใน) เช่น คูมูลัสดีเอฟ ไมโครไธออลกำมะถันทอง

       - ครีซอกซิม-เมทิล เช่น โซซิม 50 สโตรบี้ แคนดิต

       - ไมโครบิวทานิล เช่น ซีสแทน-อี

      - ไตรดีมอร์ฟ เช่น คาลิกซิน

โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)


เชื้อสาเหตุ :               อาการแห้งแข็ง คือ โรคอีบุบ เกิดจากเชื้อ Sphaceloma ampelinum อาการฉ่ำน้ำ คือ โรคเตาเผา เกิดจากเชื้อ Colletotrichum gloeosporioides

ลักษณะอาการ :        ใบจะเป็นรูจุดๆ สีน้ำตาล ใบไหม้เป็นสีน้ำตาลและดำ อาการรุนแรงใบตรงรูจุดจะขาด กิ่งจะเป็นรอยแผลขรุขระขอบแผลจะเป็นสีน้ำตาลและดำ ถ้าทำลายที่ผลจะเป็นรอยบุ๋มลึก ตรงกลางรอยบุ๋มจะมีสีเหลืองน้ำตาล

การระบาด :              ระบาดในช่วงฝนตกชุก หรือในสภาพอากาศร้อนชื้น

การป้องกันกำจัด :       

  1. หมั่นตรวจสอบแปลงและป้องกันกำจัดตั้งแต่เริ่มพบโรค
  2. กำจัดวัชพืชในโรงเรือนและรอบโรงเรือน
  3. งดให้น้ำในช่วงเย็น
  4. การใช้สารปลอดภัย

       - ชีวภัณฑ์ของเชื้อราไตรโคเดอร์มา เช่น พีพี-ไตรโค อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ทุก 5 วัน (ควรฉีดพ่นในช่วงเวลาเย็นและหลีกเลี่ยงช่วงที่มีแสงแดดจัด)

       - ชีวภัณฑ์ของเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทีลิส/ อะไมโลลิควิเฟเซียนส์ เช่น พีพี-บีเค 33 อัตรา 100 กรัม/ 20 ลิตร ทุก 5 วัน

  5. การใช้สารเคมี ควรสลับใช้สารเคมีที่มีสารออกฤทธิ์คนละชนิดกัน และอัตราที่ใช้ตามฉลาก

       - โพรพิเนบ เช่น แอนทราโคล เอราแทร็ค

       - แมนโคเซบ เช่น แมนโคเซบ ไดเทนเอ็ม-45 แมนเซทดี เพนโคเซบ

       - ไดฟีโนโคนาโซล เช่น สกอร์

      - ไมโครบิวทานิล เช่น ซีสแทน-อี

       - อะซอกซีสโตรบิน เช่น อะมิสตา ลูมินัส

โรคเน่าดำ (Black rot)


เชื้อสาเหตุ :               Phyllosticta ampelicida

ลักษณะอาการ :         ใบเป็นรูจุดไหม้สีน้ำตาลแดง ตรงกลางแผลมีสีน้ำตาลอ่อน ขอบแผลมีสีน้ำตาลเข้ม กิ่งจะมีลักษณะปื้นดำเป็นแถบ เนื้อเยื่อบริเวณแผลยุบตัวลงแต่ไม่ลึก มีสีเทา บริเวณแผล มีเม็ดเล็กๆ สีดำ ผลอ่อนเป็นจุดแผลฉ่ำน้ำสีน้ำตาลเนื้อเยื่อบริเวณแผลยุบตัวลง

การระบาด :              ระบาดในสภาพอากาศเย็นและชื้น

การป้องกันกำจัด :       

  1. หมั่นตรวจสอบแปลงและป้องกันกำจัดตั้งแต่เริ่มพบโรค
  2. กำจัดวัชพืชในโรงเรือนและรอบโรงเรือน
  3. งดให้น้ำในช่วงเย็น
  4. การใช้สารปลอดภัย

       - ชีวภัณฑ์ของเชื้อราไตรโคเดอร์มา เช่น พีพี-ไตรโค อัตรา 20 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ทุก 5 วัน (ควรฉีดพ่นในช่วงเวลาเย็นและหลีกเลี่ยงช่วงที่มีแสงแดดจัด)

       - ชีวภัณฑ์ของเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ซับทีลิส/ อะไมโลลิควิเฟเซียนส์ เช่น พีพี-บีเค 33 อัตรา 100 กรัม/ 20 ลิตร ทุก 5 วัน

5. การใช้สารเคมี ควรสลับใช้สารเคมีที่มีสารออกฤทธิ์คนละชนิดกัน และอัตราที่ใช้ตามฉลาก

       - โพรพิเนบ เช่น แอนทราโคล เอราแทร็ค

       - แมนโคเซบ เช่น แมนโคเซบ ไดเทนเอ็ม-45 แมนเซทดี เพนโคเซบ

       - ไดฟีโนโคนาโซล เช่น สกอร์

       - ไมโครบิวทานิล เช่น ซีสแทน-อี

       - อะซอกซีสโตรบิน เช่น อะมิสตา ลูมินัส

เพลี้ยไฟ (Thrips)


การเข้าทำลาย :          ดูดกินน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อผลอ่อน

ลักษณะอาการ :         เกิดแผลสีน้ำตาลบริเวณยอดอ่อนและใบ คล้ายกับอาการไหม้ ระยะผลอ่อนมีลักษณะเป็นสะเก็ดแผลตามผิวผล หากเพลี้ยไฟเข้าทำลายตั้งแต่ระยะแตกตา-แตกยอดอ่อน ส่งผลให้ต้นองุ่นชะงักการเจริญเติบโต ยอดแคระแกร็น

การระบาด :              ระบาดสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง

การป้องกันกำจัด :       

  1. หมั่นตรวจสอบแปลงและป้องกันกำจัดตั้งแต่เริ่มพบเพลี้ยไฟ โดยเฉพาะช่วงแตกใบอ่อนและติดผลอ่อน
  2. กำจัดวัชพืชในโรงเรือนและรอบโรงเรือน
  3. การใช้สารปลอดภัย

       - ใช้จุลินทรีย์ บิวเวอร์เรีย, พาซิโลมัยซิส เชื้อรา 5 พิฆาต ฉีดพ่นช่วงเย็นทุก ๆ 3 - 5 วันหลังพบการระบาด (ควรฉีดพ่นในช่วงเวลาเย็นและหลีกเลี่ยงช่วงที่มีแสงแดดจัด)

       - ใช้น้ำสบู่อ่อน อัตรา 300 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ทุก 3 วัน

       - ปิโตรเลียมออยล์ อัตรา 40 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน

4. การใช้สารเคมี ควรสลับใช้สารเคมีที่มีสารออกฤทธิ์คนละชนิดกัน และอัตราที่ใช้ตามฉลาก

       - อิมิดาคลอพริด เช่น อิมิดาคลอพริด โปรวาโด

       - ฟิโปรนิล เช่น แอสเซนด์ มอร์เก็น เลอแซ็ค

       - อะเซทามิพริด เช่น โมแลน (ไม่ควรผสมกับอิมอดาคลอพริดเพราะเป็นยากลุ่มเดียวกัน)

       - อะบาเมกติน เช่น อะบาเมกติน

       - สไปนีโทแรม เช่น เอ็กซอล