ผักกาดหอมทั่วไป
ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) : Lactuca sativa L.
ชื่อสามัญ (Common name) : Lettuce
ลักษณะทั่วไป
ผักกาดหอมเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและยุโรป เป็นพืชฤดูเดียว มีลำต้นอวบสั้น ช่วงข้อถี่ ใบจะเจริญจากข้อเป็นกลุ่ม อาจห่อหัวหรือไม่ห่อหัว ลักษณะรูปร่างและสีแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ บางพันธุ์อาจมีใบหนาแข็ง บางพันธุ์ใบอ่อนนิ่ม มีสีเขียวอ่อนจนถึงสีเขียวเข้ม สีน้ำตาลปนแดง สีแดงและสีน้ำตาลเป็นต้น ตัวอย่างเช่น ผักกาดแก้ว ใบจะห่อหัวซ้อนกันเป็นหัวกลม ใบบาง กรอบ ขอบใบหยัก
สีเขียวอ่อนหรือผักกาดหอมใบแดง เป็นลักษณะพันธุ์ไม่ห่อหัว ใบหยักเป็นคลื่น ขอบใบหยัก มีสีเขียวปนแดงผักกาดหอมมีระบบรากแก้วที่สามารถเจริญลงไปในดินอย่างรวดเร็ว ช่อดอกเป็นแบบ panicle สูง 2 - 4 ฟุต ประกอบด้วยดอก10-25 ดอกต่อช่อเป็นดอกสมบูรณ์เพศกลีบดอกสีเหลืองหรือขาวปนเหลือง ดอกจะบานช่วงเช้าและเป็นในระยะสั้นโดยเฉพาะในช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำ
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ผักกาดหอมเป็นพืชที่ต้องการสภาพอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10 - 24 อาศาเซลเซียส ในสภาพอุณหภูมิสูงการเจริญเติบโตทางใบจะลดลงและพืชสร้างสารคล้ายน้ำนมหรือยางมาก เส้นใยสูง เหนียวและมีรสขม ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกควรร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์และมีอินทรีย์วัตถุสูง หน้าดินลึกและอุ้มน้ำได้ดีปานกลาง สภาพความเป็นกรด - ด่างของดินอยู่ระหว่าง 6.0 - 6.5 พื้นที่ปลูกควรโล่งและได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ เนื่องจากใบผักกาดหอมมีลักษณะบาง ไม่ทนต่อฝน ดังนั้นในช่วงฤดูฝนควรปลูกใต้โรงเรือน
การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร
ผักกาดหอมเป็นพืชที่นิยมบริโภคสด โดยเฉพาะในสลัดหรือกินกับยำ นำมาตกแต่งในจานอาหาร แต่สามารถประกอบอาหารได้ในบางชนิด ผักกาดหอมมีน้ำเป็นองค์ประกอบและมีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะผักกาดหอมที่มีใบสีแดง นอกจากนี้ยังให้ฮีโมโกลบิน (hemoglobin) ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง บรรเทาอาการท้องผูก เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
การปฎิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโต
กิจกรรม วิธีปฎิบัติ
การเตรียมดิน ขุดดินตากแดดและโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 0 - 100 กรัม/ตรม. ทิ้งไว้ 14 วันให้วัชพืชแห้งตาย
ขึ้นแปลงกว้าง1 ม. ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 และ 15 -0-0 อัตรา 50 กก ./ ไร่ ( รองพื้น ) ปุ๋ยคอก
อัตรา 2-4 ตัน / ไร่
การเตรียมกล้า เพาะกล้าในถาดหลุมแบบประณีต ดินเพาะควรมีระบบน้ำดี อายุกล้าประมาณ 3 – 4 อาทิตย์
การปลูก ระยะปลูก 30 x 30 ซม. 3แถวในฤดูร้อน และ 40 x 40 ซม. 3แถวในฤดูฝน (เพื่อป้องกันการระบาดของโรค )
ข้อควรระวัง
1. อย่าปลูกในหลุมใหญ่หรือลึก เพราะน้ำอาจขังหากการระบายน้ำไม่ดีอาจทำให้เน่าเสียหาย
2. อย่าเหยียบหลังแปลงเพาะ จะทำให้ดินแน่น พืชเติบโตได้ไม่ดี
3. กล้าควรแข็งแรง อายุไม่เกิน 30 วัน เมื่อย้ายปลูก
4. ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ตามคำแนะนำ
5. ก่อนใส่ปูนขาวหรือดินโดโลไมค์ต้องวัด pH ก่อนช่วงเตรียมดิน
6. หลังย้ายกล้าในฤดูฝนให้ระวังหนอนกระทู้ดำและจิ้งหรีด
การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอต่อการเจริญเติบโต การให้ไม่ควรมากเกินไป อาจทำให้เกิดโรคโคนเน่า
การใส่ปุ๋ย หลังปลูก 7 วันใส่ปุ๋ย 46 – 0 – 0 หรือผสม 15 – 15 – 15 อัตรา 50 กก./ไร่ อย่างละครึ่งพร้อมกำจัดวัชพืช
หลังปลูก 20 – 25 วันใส่ปุ๋ย 13 – 13-21พร้อมกำจัดวัชพืช ขุดร่องลึก 2 – 3 ซม.รัศมีจากต้น 10 ซม.โรยปุ๋ย
1/2ช้อนโต๊ะ กลบดินแล้วรดน้ำ
ข้อควรระวัง
1. ควรฉีดพ่นแคลเซียมและโบรอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tipbrun) บางพื้นที่มี
ปัญหาขาดธาตุรอง
2. การพรวนดิน ระวังอย่ากระทบกระเทือนรากหรือต้น เพราะจะมีผลต่อการเข้าปลีที่ไม่สมบูรณ์
3. ควรเตรียมแปลงปลูกโดยใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักปริมาณที่มาก
4. ไม่ควรปลูกซ้ำที่
การเก็บเกี่ยว เมื่อมีอายุได้ประมาณ 40 – 60 วันหลังย้ายปลูก ใช้หลังมือกดดูถ้าหัวแน่นก็เก็บได้( กดยุบแล้วกลับคืนเหมือนเดิม )
ใช้มีดตัดและเหลือใบนอก 3 ใบ เพื่อป้องกันความเสียหายในการขนส่ง หลีกเลี่ยงการเก็บเกี่ยวตอนเปียกควรเก็บ
เกี่ยวตอนบ่ายหรือค่ำ แล้วผึ่งลมในที่ร่มและคัดเกรด ป้ายปูนแดงที่รอยตัดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคเข้าสู่หัว อย่า
ล้างผัก บรรจุลงลังพลาสติก
ข้อควรระวัง
1. ในฤดูฝน เก็บเกี่ยวก่อนผักโตเต็มที่ 2 – 3 วัน เพราะเน่าง่าย
2. เก็บซากต้นนำไปเผาหรือฝังลึกประมาณ 1 ฟุต ป้องกันการระบาดและสะสมโรคในแปลงปลูก
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญในระยะต่างๆของการเจริญเติบโต
ระยะการเจริญเติบโต ระยะกล้า 20 - 25 วัน ระยะย้ายปลูก-ตั้งตัว 25 - 30 วัน ระยะห่อหัว 30 - 35 วัน ระยะเก็บเกี่ยว 50 - 55 วัน
โรค/แมลง
หนอนชอนใบ x x x x
หนอนกระทู้ใบ x
หนอนกินใบ x x x
โคนเน่า x
โรคใบจุด x x x
โรคหัวเน่า x x x
โรครากปม x x x x
เอกสารอ้างอิง :
หนังสือเรื่องการปลูกผักบนพื้นที่สูง มูลนิธิโครงการหลวง