องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

แตงกวาญี่ปุ่น

ชื่อสามัญ Japannese cucumber

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucumis sativas

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ : [1]

ลักษณะทั่วไป แตงกวาญี่ปุ่นจัดอยู่ในตระกูล Cucurbitaceae มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียและแอฟริกา เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีความยาวตั้งแต่ 40 เซนติเมตรขึ้นไป ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนปกคลุมขึ้นอยู่ทั่วไป มีระบบรากเป็นรากแก้ว ใบเป็นใบเดี่ยว มีมุมแหลม ใบมีขนปกคลุม แตงกวามีดอกตัวผู้และตัวเมียในต้นเดียวกัน แต่จะแยกกัน ดังนั้นจึงต้องใช้ผึ้งช่วยผสมเกสร ดอกตัวผู้จะเกิดเป็นกลุ่ม ส่วนดอกตัวเมียจะเกิดเดี่ยวๆ ดอกมีสีเหลือง ดอกตัวเมียมีลักษณะสังเกตคือ คล้ายแตงกวาผลเล็ก ๆ ตัดกับกลีบดอก ส่วนดอกตัวผู้จะมีเฉพาะก้านดอก ผลแตงกวาอ่อนมีหนามสั้นๆ เมื่อแก่จะหลุดออก ผิวเป็นร่องหรือปุ่ม ผลมีสีเขียวเข้ม เนื้อผลหนาฉ่ำน้ำ เนื้อแน่น กรอบ ไส้ผลมีขนาดเล็กลักษณะคล้าย Jelly

การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร แตงกวามีเอนไซม์อีเรพซิน (erepsin) ช่วยย่อยโปรตีนได้ สรรพคุณของแตงกวา ขับปัสสาวะ แก้ไข้ กระหายน้ำ ใบแตงกวาแก้ท้องเสีย และช่วยลดความดันโลหิตสูง นิยมรับประทานเป็นผักสด แต่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น ผัด ต้ม ดอง นึ่ง หรือนำมาคั้นน้ำเป็นเครื่องดื่ม หรือนำมาตกแต่งจานอาหาร

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม :  [1]

อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการปลูกอยู่ระหว่าง 18 - 24 องศาเซลเซียส ความชื้นในอากาศต่ำ และได้รับแสงอย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน การปลูกในฤดูหนาวจะใช้เวลานานกว่าการปลูกในฤดูร้อน หากสภาพอากาศร้อนเกินไปจะมีแต่ดอกตัวผู้ ผสมไม่ติด ทำให้ผลผลิตต่ำ แตงกวาสามารถเจริญได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมคือ ดินร่วนปนทราย ที่มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5 - 6.5 ดินควรมีอินทรีย์วัตถุสูง การระบายน้ำดี มีความชื้นในดินพอเหมาะ น้ำไม่ขังแฉะ เพราะหากน้ำขังจะทำให้เกิดโรคได้ง่าย อย่างไรก็ตามในช่วงการปลูกควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดฤดูกาลผลิต

การปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆของการเจริญเติบโต : [1]

การเตรียมกล้า

1. ใส่น้ำให้ท่วมเมล็ด 4 ชั่วโมง และเทน้ำทิ้ง

2. ผึ่งเมล็ดให้แห้ง

3. ใส่น้ำอุ่นอุณหภูมิ 50 – 55 องศาเซลเซียส ให้ท่วมเมล็ด 15 นาที และเทน้ำทิ้ง การเตรียมน้ำอุ่น 55 องศาเซลเซียส ทำได้โดยผสมน้ำร้อนจากกระติกต้มน้ำไฟฟ้าและน้ำอุณหภูมิห้อง ในอัตรา 3 : 2 โดยปริมาตร และการเปลี่ยนน้ำอุ่นแช่เมล็ดทุก 5 นาที 3 ครั้ง

หมายเหตุ : อุณหภูมิน้ำร้อนที่วางนอกกระติกลดลงเร็วมาก จึงควรกดน้ำร้อนจากกระติกทันที เมื่อต้องการผสม

4. ผึ่งเมล็ดในที่ร่มให้แห้ง

5. หยอดเมล็ดในถาดหลุมที่มีวัสดุปลูกเมล็ดละหลุมและให้น้ำสม่ำเสมอ

6. พ่นสารเคมีป้องกันหนอนชอนใบ (โตกุไธออน) และเชื้อรา (ดูมูลัสเอส) 1 – 2 วันก่อนย้ายกล้า

7. ย้ายปลูกต้นกล้าเมื่อใบจริงใบที่สองเริ่มคลี ประมาณ 10 – 14 วัน หลังเพาะกล้า การย้ายปลูกต้นกล้าช้าเกินไป พืชจะชะงักการเจริญเติบโต 

8. คัดต้นกล้าที่ถูกเชื้อราและหนอนชอนใบเข้าทำลาย เนื่องจากพืชจะชะงักการเจริญเติบโตหลังย้ายปลูก

การเตรียมดิน

1. พลิกดินลึก 25 ซม. และตากดิน 7 – 14 วัน  เพื่อฆ่าเชื้อโรค ไข่และตัวอ่อนแมลงในดิน

2. ขึ้นแปลงกว้าง 1 เมตร ตามแนวยาวของโรงเรือน มีทางเดินระหว่างแปลง 0.5 เมตร

3. คลุมแปลงด้วยพลาสติกบรอนซ์ – ดำ และเจาะพลาสติกเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 ซม. ห่างเท่ากับระยะปลูก (50 x 60 ซม.)

4. วางระบบน้ำ

5. ให้น้ำจนดินอิ่มตัวที่ระดับความลึก 25 ซม. หลังให้น้ำ 2 วัน ปริมาณน้ำในดินเท่ากับปริมาณน้ำสูงสุดที่ดินสามารถดูดซับได้

การปลูก

1. ขุดดินตรงรอยเจาะพลาสติก ลึก 10 ซม. และรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก อัตรา 200 กรัมต่อหลุม

2. ผสมหัวเชื้อไตรโดรเคอร์มา หัวเชื้อรา Baecilomy Taecilomyces รำและปุ๋ยหมัก อัตรา 1 : 1 : 4 : 10  โดยน้ำหนักและนำเชื้อที่ผสมแล้ว 3 ช้อนแกง (40 กรัม) คลุกกับปุ๋ยหมักที่รองก้นหลุม

3. ย้ายปลูกต้นกล้า 3 วัน หลังใส่เชื้อไตรโดรเคอร์มา

หมายเหตุ   ฤดูฝนมีจิ้งหรีดกัดลำต้นแตงกวาญี่ปุ่นในแปลงปลูกอาจแก้ไขโดยสวมลำต้นด้วยปลอกพลาสติกดำ

การให้น้ำและปุ๋ย

การให้ปุ๋ยและน้ำในระบบ Fertigation

1. การเตรียมสารละลายปุ๋ย

- ปุ๋ยระบบ fertigation แบ่งเป็น 2 ถัง (Aและ B)   

- ถัง A มีสารละลาย 100 ลิตร ประกอบด้วย Ca(NO2)

2. การผสมปุ๋ย

   ถัง A - ละลาย Ca(NO2) ในน้ำ 60 ลิตร คนให้ละลาย ทิ้งให้ตกตะกอนก่อนกรอง ด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้น

- เติมน้ำคนให้ละลาย 

- ปรับปริมาณน้ำในถังให้ได้ 100 ลิตร

    ถัง B - ละลายปุ๋ยเคมีทั้งหมดในน้ำ 60 ลิตร คนให้ละลาย และปรับปริมาณน้ำในถังให้ได้ 100 ลิตร  

3. การให้ปุ๋ยและน้ำ

- ปริมาณปุ๋ยและน้ำที่ให้แต่ละวัน  

- การผสมปุ๋ยควรใส่น้ำในถังจ่ายปุ๋ยก่อนแล้ว จึงใส่สารละลายปุ๋ยจากถัง A และ ถัง B  เนื่องจากการผสมปุ๋ยจากถัง A และถัง B ทันที จะทำให้ปุ๋ยตกตะกอนไม่เป็นประโยชน์ต่อพืช 

- ปริมาณปุ๋ยที่ให้จะเพิ่มอัตราการเพิ่มน้ำหนักต้น 

- ปริมาณน้ำที่ให้จะเพิ่มตามน้ำหนักต้น ควรใช้ถังจ่ายปุ๋ยและน้ำขนาด 200 ลิตร ต่อการปลูกแตงกวา 100 ต้น

การให้ปุ๋ยและน้ำตามร่อง  โดยการปล่อยน้ำตามร่อง ให้ 2 วัน/ครั้ง (ตามความเหมาะสม)

การให้ปุ๋ย (ปุ๋ยเม็ด)

ครั้งที่ 1 หลังจากย้ายปลูก 7-10 วัน ใส่ปุ๋ย 46-0-0 อัตรา 20 กรัม/ต้นโรยห่างจากต้น 10 ซม.

ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ย 15-15-15 จำนวน 20 กรัม/ต้น หลังปลูก 17 วัน

ครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ย 13-13-21 จำนวน 25 กรัม/ต้น หลังปลูก 25 วัน

การทำค้าง เมื่อพืชอายุ 10 วัน ควรติดตั้งค้างเพื่อพยุงลำต้นและผล ค้างมีลักษณะเป็นเสาแถวคู่ สูง 3 เมตร ห่าง 50 ซม. แถวคู่ของเสาจะขนานกับความยาวแปลง และอยู่ชิดด้านในของต้นแตงกวาญี่ปุ่น ระยะห่างของเสาแต่ละคู่ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของเสา จากนั้นขึงตาข่ายระหว่างเสาให้ตาข่ายด้านล่างและด้านบนอยู่สูงจากพื้น 5 และ 200 ซม. ตามลำดับ

การตัดแต่งกิ่ง

1. ข้อที่ 1 – 5 ใช้มือเด็ดกิ่งแขนงทันทีที่ปรากฏ ไม่ควรปล่อยให้กิ่งยาว เนื่องจากกิ่งจะเหนียวและต้องใช้มีดตัด ทำให้เชื้อโรคเข้าทำลายได้ง่าย  

2. ไว้กิ่งแขนงข้อที่ 6 – 25 และตัดปลายกิ่งแขนงเมื่อกิ่งติดผล 2 ข้อ ตัดกิ่งควรแช่มีดในสาร   Na3PO4 ความเข็มข้น 10 PPM.    

3. เด็ดยอดเมื่อพืชมี 25 ข้อ (ยอดสูงจากพื้นแปลง 200 ซม.)

4. ถ้าผลอ่อนมีลักษณะบิดงอ ควรเด็ดทิ้งทันที เนื่องจากจะพัฒนาเป็นผล แตงกวาเกรด U หรือ R ซึ่งราคาต่ำมาก

5. ตัดแต่งใบเป็นโรคทิ้ง

การพัฒนาดอกและผล หลังออกดอก 2 และ 4 วัน ดอกจะบานและติดผลตามลำดับ

อาการขาดธาตุอาหาร การขาดโบรอนทำให้ข้อสั้น ใบย่น และยอดชะงักการเจริญเติบโต

ข้อควรระวัง

1.หลีกเลี่ยงการนำเชื้อเข้าพื้นที่

1.1 กำจัดพืชอาศัยของเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัส บริเวณรอบพื้นที่ปลูก เช่น ต้นลำโพง กระทกรก ตำลึง และต้นขี้กา

1.2 ใช้เมล็ดปลอดโรค หรือนำให้เมล็ดปลอดโรค โดยการแช่ในน้ำอุ่น 50 – 55 องศาเซลเซียส 15 นาที  ก่อนนำไปเพาะกล้า

2.ลดปริมาณโรคและแมลงในแปลง

2.1 ปลูกพืชหมุนเวียนตัดวงจรแมลง

2.2 ขุดดินลึก 25 ซม. และตากดินอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนปลูก

2.3 ทำความสะอาดเครื่องมือ เช่น มีดที่ใช้ในการตัดแต่งกิ่งโดยแช่ใน Na3PO4 ความเข็มข้น10 ppm. ก่อนตัดแต่งต้นใหม่ทุกครั้ง(ใช้มีด 2 ด้ามสลับกัน)

2.4 ควรให้ปุ๋ยและน้ำให้พอเพียงต่อการเจริญของพืชตลอดฤดูปลูกจะทำให้พืชสมบูรณ์ แข็งแรงและต้านทานโรค

2.5 ปลูกพืชในโรงเรือน เมื่อฝนตกควรปิดโรงเรือนให้มิดชิดเพื่อป้องกันฝนสาด และเมื่อฝนหยุดตกควรเปิดโรงเรือนเพื่อระบาย และลดความชื้นอากาศในโรงเรือนซึ่งเป็นสาเหตุของโรคราน้ำค้าง

2.6 ตัดแต่งใบที่เป็นโรคทิ้งนอกบริเวณพื้นที่ปลูก

2.7 ควรเดินตรวจแปลงสม่ำเสมอ เนื่องจากการกำจัดโรคและแมลง เมื่อเริ่มระบาดจะได้ผลดีกว่าเมื่อระบาดรุนแรงมากแล้ว

2.8 ใช้สารเคมี ควรมีโปรแกรมฉีดพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันโรคและแมลง และการใช้ยาควรใช้สลับกันเพื่อป้องกันการดื้อยา

2.9 ใช้พันธุ์ด้านทานโรคและแมลง

การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว : [2]

ช่วงเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวหลังจากดอกบาน 3 – 5 วัน

การเก็บเกี่ยว

1. เก็บเกี่ยวผลที่มีขนาดตามตลาดต้องการ

2. คัดเอาผลที่ผิดปกติออก

3. จัดเรียงเป็นชั้นๆ ในภาชนะบรรจุ กั้นด้วยกระดาษสีขาวหรือฟองน้ำ

4. บรรจุในตะกร้าพลาสติก

5. หลีกเลี่ยงการขนส่งกับผลิตผลที่สังเคราะห์เอทธิลีนสูง เช่น เสาวรส แอปเปิล แคนตาลูป อะโวคาโด สาลี่ ท้อ และมะละกอ

6. ขนส่งโดยรถห้องเย็นหรือธรรมดา

ข้อกำหนดเรื่องคุณภาพ คุณภาพขั้นต่ำ เป็นแตงกวายาวทั้งผล มีรูปร่างและสีตรงตามพันธุ์ สด สะอาด ผลแข็งไม่นิ่ม ไม่มีร่องรอยการเข้าทำลายของแมลง รวมทั้งแมลงวันผลไม้ ปลอดภัยจากสารเคมี

 การจัดชั้นคุณภาพ

ชั้นหนึ่ง   1. ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 – 3 เซนติเมตร ยาว 15 – 20 เซนติเมตร

       2. รูปร่างผลตรง อาจโค้งได้เล็กน้อย จะต้องไม่ทำให้เสียรูปทรง

       3. สีเขียวสด ไม่แก่ ไม่มีรอยตำหนิต่างๆ

       4. ขนาดตั้งแต่โคนถึงปลายผลสม่ำเสมอ ไม่คอดกลางหรือปลายแหลม

       5. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ชั้นสอง   1. ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 3.5 เซนติเมตร ยาว 15 – 25 เซนติเมตร

       2. รูปร่างผลอาจจะโค้งได้มากกว่าชั้นหนึ่ง แต่ต้องไม่เสียรูปทรง

       3. สีเขียวสด ไม่แก่ มีรอยตำหนิได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนในภาชนะบรรรจุ

       4. ขนาดของผลตั้งแต่โคนถึงปลายผลสม่ำเสมอ ไม่คอดตรงกลาง หรือปลายแหลม

       5. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ชั้น U   1. ผลมีขนาดเท่ากับชั้นสอง

       2. มีตำหนิและผลที่มีรูปร่างผิดปกติปะปนได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนในภาชนะบรรจุ

       3. มีคุณภาพอย่างน้อยตามคุณภาพขั้นต่ำ

ข้อกำหนดในการจัดเรียง แตงกวาญี่ปุ่นที่อยู่ในภาชนะบรรจุเดียวกันต้องเป็นพันธุ์เดียวกัน เป็นชั้นคุณภาพเหมือนกัน และมีคุณภาพสม่ำเสมอ

การเตรียมสู่ตลาด ใส่ถุงพลาสติกเจาะรู หรือห่อแต่ละผลด้วยพลาสติกโพลีไวนีลคลอไรด์ (PVC)

การเก็บรักษา อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 95 – 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถเก็บรักษาได้นาน 10 – 14 วัน


เอกสารอ้างอิง :

[1] หนังสือเรื่องการปลูกผักบนพื้นที่สูง

[2] ตุลาคม 2545.คู่มือการจัดชั้นคุณภาพผัก.กองพัฒนาเกษตรที่สูง สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์