องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

1.5 °C เปลี่ยนชีวิตพืชบนดอยสูง

หนาวสุดขั้ว ร้อนสุดขีด ภัยเงียบบอกอนาคต


คนส่วนใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 20 เริ่มคุ้นเคยกับคำว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change)” ตัวอย่างใกล้ตัวเราที่เห็นได้ชัดและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น ปี 2565 ฝนเริ่มตกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ (ลานินญ่า) หรือสภาพอากาศร้อนจัด ลมพายุรุนแรงที่เรากำลังเจอขณะนี้ รวมถึงน้ำท่วม ฝนแล้ง (เอลนินโญ่) ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกซึ่งไม่เคยเจอมาก่อน ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นผลมาจากโลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับจากรังสีดวงอาทิตย์ออกไปได้ จึงทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น1/ หรือเรียกว่า “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” สาเหตุสำคัญ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเกินสมดุลออกสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ระบบโลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว จนเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change โดยส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่ การเผาไหม้เชื้อเพลิง การใช้สารเคมี การตัดไม้ทำลายป่า 

มีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มอีก 1.5-4.5 องศาเซลเซียส จนเกิดภาวะโลกร้อนระดับรุนแรง แหล่งน้ำภายในโลกอาจขาดแคลนและเกิดคลื่นความร้อนสูง หากปี พ.ศ. 2643 (ค.ศ. 2100) สภาวะโลกร้อนนี้ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความผันผวนและผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตรของโลก เช่น ข้าวโพดมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ ปริมาณผลิตผลพืชผักและพืชตระกูลถั่วที่เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ลดลงเฉลี่ย 31.5% นอกจากนี้อุณหภูมิยังมีความเชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดของโรคพืช แมลงศัตรูพืชและวัชพืช รวมถึงการอพยพของสัตว์น้ำตามระดับอุณหภูมิน้ำทะเล ทำให้เแหล่งประมงเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดมีผลต่อความมั่นคงด้านอาหารของประชากรโลก3/