องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

ทำไมต้องปลูกองุ่น ภายใต้หลังคาพลาสติก

          องุ่นเป็นพืชยืนต้นชนิดเถาเลื้อย มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเอเซียไมเนอร์และทะเลแคสเปียน ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิ 15-35 องศาเซลเซียส แดดจัด และมีความชื้นในอากาศต่ำ ส่งผลให้โรคและแมลงรบกวนน้อย การสุกของผลพัฒนาไปอย่างช้าๆและเต็มที่ สัดส่วนของน้ำตาลและกรดอยู่ในระดับที่เหมาะสมทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดี แต่ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ถึงแม้ต้นองุ่นจะเติบโตดีแต่มีโรคและแมลงเข้าทำลายจำนวนมากและรวดเร็ว นอกจากนี้หากมีฝนตกชุกก็จะทำความเสียหายแก่ช่อดอก ทำให้ดอกร่วง ผลแตก และผลผลิตไม่มีคุณภาพ โรคองุ่นที่พบทั่วไปได้แก่ โรคราน้ำค้าง โรคแอนแทรกโนส โรคเถาแห้ง โรคผลเน่า โรคราแป้ง และโรคราสนิม เป็นต้น ซึ่งโรคที่เป็นปัญหาที่รุนแรงคือ แอนแทรกโนสและราน้ำค้าง สามารถเกิดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต โดยเฉพาะส่วนที่ยังอ่อนเช่น ยอดอ่อน กิ่งอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และผล โดยการระบาดของโรคนี้มีน้ำฝนเป็นปัจจัยที่สำคัญ ดังนั้นเกษตรกรจึงจำเป็นต้องใช้สารเคมีเกษตรในการป้องกันกำจัดศัตรูองุ่นในปริมาณที่มาก หากในฤดูฝนซึ่งมีฝนตกตลอดเกือบทุกวัน การพ่นสารป้องกันกำจัดโรคแมลงองุ่นก็ยิ่งต้องกระทำบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อเกษตรกร และมีสารพิษตกค้างรวมทั้งคราบของสารเคมีบนผิวของผลองุ่นรับประทานสด เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่มั่นใจไม่กล้าซื้อไปรับประทาน ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้

        ในต่างประเทศมีการใช้หลังคาพลาสติกในการปลูกพืชกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในการผลิตผัก ไม้ดอก และไม้ผล เช่น ประเทศญี่ปุ่น อเมริกา สเปน จีน ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ และอิสราเอล เป็นต้น การปลูกพืชภายใต้หลังคาพลาสติกนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อ ป้องกันพืชให้พ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่างๆ เช่น หิมะ น้ำฝน แสงแดดที่จัด และฝุ่นละออง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตร

       สำหรับประเทศไทยได้มีการใช้หลังคาพลาสติกในการปลูกองุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกองุ่นในพื้นที่ของมูลนิธิโครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ส่งผลให้คุณภาพของผลผลิตองุ่นดีกว่าการปลูกกลางแจ้ง อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดโรคราน้ำค้างและแอนแทรกโนสได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคจาก 20-30 ครั้งเป็น 7-8 ครั้งตลอดช่วงฤดูฝนมีการระบาดของโรคและแมลงน้อยลงทำให้มีปริมาณผลผลิตสูงกว่าการปลูกกลางแจ้ง