ยะจะใดฮื้อกาแฟลำ ?
คนเมืองเหนือจะมีคำที่ชอบพูดกันว่า “ของกิ๋นลำอยู่ตี้คนมัก ของฮักอยู่ตี้คนเปิงใจ๋” ซึ่งก็หมายความว่า อาหารจะอร่อยอยู่ที่คนชอบ คนจะรักใครชอบใครขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล ครั้งนี้จะเน้นคำว่า ลำ หรือ อร่อย ในมุมมองการดื่มกาแฟของผู้เขียนโดยเฉพาะกาแฟอะราบิกาที่มีการปลูกมากบนพื้นที่สูงของจังหวัดในภาคเหนือ และเป็นกาแฟที่มูลค่าและเป็นที่นิยมบริโภคมากที่สุดในโลก
การดื่มกาแฟได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของหลายๆ คน บางคนดื่มกาแฟเพื่อต้องการให้กระตุ้นให้รู้สึกสดชื่น หลายคนดื่มเพราะชอบในรสชาติและความหอมของกลิ่น ผู้เชียวชาญด้านกาแฟจากประเทศโคลอมเบีย เคยให้คำแนะนำสำหรับมูลนิธิโครงการหลวงถึงความสำคัญของการผลิตไว้ว่า การผลิตกาแฟให้มีคุณภาพ แบ่งสัดส่วนออกเป็น 4 ส่วนคือ พันธุ์และวิธีการปลูกที่ดี ร้อยละ 30 การจัดการและดูแลรักษาสวน ร้อยละ 30 การเก็บเกี่ยวและแปรรูป ร้อยละ 30 และอีกร้อยละ 10 เป็นวิธีการคั่วและการชงที่ดี ซึ่งยังมีปัจจัยย่อยๆ ที่ส่งผลต่อการแสดงออกทางด้านรสชาติที่ดี ดังแผนภาพ
1. การเลือกพื้นที่และสภาพภูมิประเทศ และสภาพอากาศที่เหมาะสม คือ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีไม่ต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนต่อปีเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1,000 มิลลิเมตร พื้นที่ปลูกกาแฟมีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1,000 เมตร ความลาดชันไม่ควรเกิน 25 องศา ได้รับแสงแดดจัดในตอนเช้า ดินระบายน้ำดี และมีหน้าดินหนาไม่น้อยกว่า 1 เมตร มีความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 5.5 -6.5
2. พันธุ์หรือสายพันธุ์แต่ละชนิดจะให้รสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ต่างกัน เช่นพันธุ์ที่นิยม คือ Typica, Bourbon, Caturra, Catuai, Java, Blue mountain และ Geisha เป็นต้น แต่สำหรับพันธุ์เหล่านั้น มีข้อด้อยคือ ไม่ทนทานต่อโรคราสนิม สำหรับประเทศไทย มีสายพันธุ์ที่นิยมปลูกมากคือ กลุ่มสายพันธุ์คาติมอร์ ที่เรารู้จักดีได้แก่ P88, P90, LC1662 รวมถึง เชียงใหม่ 80 ทั้งนี้ มูลนิธิโครงการหลวง และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ได้ร่วมวิจัยและคัดเลือกสายพันธุ์กาแฟคุณภาพได้จำนวน 4 สายพันธุ์ คือ RPF-C1, RPF-C2, RPF-C3 และ RPF-C4 ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายต้นกล้าพันธุ์สำหรับส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก