การจัดทำเกรดผักอินทรีย์
ปัจจุบันกระแสรักสุขภาพมาแรง ผักอินทรีย์จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ทั้งตัวผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ สินค้าพืชผักอินทรีย์สามารถขายได้ราคาดีกว่าพืชผักที่ปลูกด้วยเคมี จึงทำให้เกษตรกรหันมาปลูกผักอินทรีย์กันมากขึ้น
ในกรณีที่เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรได้เจรจาเพื่อซื้อ-ขาย ผักอินทรีย์ กับลูกค้า สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่มักจะต้องตกลงกัน คือ คุณลักษณะของผลิตผลที่จะซื้อ-ขายกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเกรด หรือ สเปค (spec) ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อต้องทำสเปคร่วมกับลูกค้า (ต้องตกลงร่วมกัน) มีดังนี้
1. มีรูปร่าง ลักษณะ และสีตรงตามพันธุ์ที่ลูกค้าต้องการ
2. น้ำหนัก ความยาวหรือสูง ความกว้าง ฯลฯ
3. ช่วง (อายุ) เก็บเกี่ยวที่เหมาะสม หรือที่ลูกค้าต้องการ เช่น ต้องเก็บเกี่ยวเมื่ออายุปลูก 35 วัน
4. ตำหนิหรือความเสียหายที่ลูกค้ายอมรับได้ มีกี่เปอร์เซ็นต์ เช่น มีตำหนิจากการทำลายของแมลง ประมาณ 10% ของผลิตผลในภาชนะบรรจุทั้งหมด เป็นต้น
5. การตัดแต่ง เช่น หัวไชเท้า (ผักกาดหัว) ต้องตัดแต่งใบออก เหลือก้านใบประมาณ 5-10 เซ็นติเมตร
6. ลักษณะการบรรจุและน้ำหนักที่บรรจุ เช่น กะหล่ำปลี บรรจุใส่ลังพลาสติก 10 กิโลกรัม/ลัง เป็นต้น
7. ข้อกำหนดอื่นๆ ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับชนิดพืช
ยกตัวอย่าง: นางใจดี ปลูกกะหล่ำปลี มีผลิตผล 1,000 กิโลกรัม โดยมีสัดส่วนดังนี้
· กะหล่ำปลีน้ำหนักหัว 500-700 กรัม มีประมาณ 70% ของผลิตผลทั้งหมด
· น้ำหนักหัว 600-800 กรัม มีประมาณ 10%
· หัวที่มีน้ำหนัก 900-1,000 กรัม มีประมาณ 10%
· น้ำหนักหัว 200-300 กรัม มีประมาณ 10%
จากข้อมูลข้างต้นจะสังเกตได้ว่า ควรจะเลือกกะหล่ำปลีที่มีน้ำหนักหัว 500-700 กรัม เป็นหลัก ในการเสนอลูกค้า โดยอาจจัดเกรดดังนี้
· เกรด 1 น้ำหนักหัว 500-700 กรัม
· เกรด 2 น้ำหนักหัว 600-800 กรัม
· เกรด 3 หรือ เกรด U (Under grade) หรือ ตกเกรด หัวที่มีน้ำหนัก 900-1,000 กรัม หรือ น้ำหนักหัว 200-300 กรัม (เนื่องจากหัวมีขนาดใหญ่หรือเล็กเกินไป)