ผักกาดหอมห่อ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lactucasativa var. capitata
ชื่อสามัญ Head Lettuce, Iceberg, Crisp Lettuce
ลักษณะทางพฤษศาสตร์ : [1]
ลักษณะทั่วไป ผักกาดหอมห่อเป็นผักสีเขียวค่อนข้างอ่อน ใบห่อเป็นหัว เนื้อใบหนากรอบเป็นแผ่นคลื่น เป็นพืชที่ปลูกง่าย ตลาดมีความต้องการสูง เป็นผักที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเป็นผักที่มีใบบางกรอบ รสหวาน ไม่เหม็นเขียว และมีน้ำมาก
การใช้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร ผักกาดหอมห่อเหมาะสำหรับรับประทานสดในสลัด สเต็ก หรือหากจะนำมาผัด หรือต้ม ลวกเป็นเครื่องเคียงก็ดี เนื่องจากใบจะนิ่ม และเครื่องปรุงรสจะแทรกซึมได้ดี ที่สำคัญเป็นผักที่มีฮีโมโกลบิน ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม : [1]
ผักกาดหอมห่อเป็นพืชที่ต้องการสภาพอากาศเย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10 – 24 องศาเซลเซียส ในสภาพอุณหภูมิสูง การเจริญเติบโตทางใบจะลดลง และพืชสร้างสารคล้ายน้ำนม หรือยางมาก เส้นใยสูง เหนียว และมีรสขม ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกควรร่วนซุย มีความอุดมสมบูรณ์ และมีอินทรีย์วัตถูสูง หน้าดินลึก และอุ้มน้ำได้ดีปานกลาง สภาพความเป็นกรด - ด่างของดินอยู่ระหว่าง 6.0 - 6.5 พื้นที่ปลูกควรโล่งและได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ เนื่องจากใบผักกาดหอมมีลักษณะบาง ไม่ทนต่อฝน ดังนั้นในช่วงฤดูฝนควรปลูกใต้โรงเรือน
การปฎิบัติดูแลรักษาระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโต
กิจกรรม วิธีปฎิบัติ
การเตรียมดิน ขุดดินตากแดดและโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ อัตรา 0 – 100 กรัม/ตร.ม. ทิ้งไว้ 14 วัน ให้วัชพืชแห้งตาย
ขึ้นแปลงกว้าง 1 ม.ใส่ปุ๋ย 12 – 24 – 12 และ 15 – 0 – 0 อัตรา 50 กก./ไร่ สัดส่วน 1 : 1 (รองพื้น)
ปุ๋ยคอกอัตรา 2 – 4 ตัน/ไร่
การเตรียมกล้า เพาะกล้าในถาดหลุมแบบประณีต ดินเพาะควรมีระบบน้ำดี อายุกล้าประมาณ 3 – 4 อาทิตย์
การปลูก ระยะปลูก 30x30 ซม. 3 แถว ในฤดูร้อน และ 40 x 40 ซม. 3 แถว ในฤดูฝน (เพื่อป้องกันการระบาดของโรค )
ข้อควรระวัง
1. อย่าปลูกในหลุมใหญ่หรือลึก เพราะน้ำอาจขังหากการระบายน้ำ ไม่ดี อาจทำให้เน่าเสียหาย
2. อย่าเหยียบหลังแปลงเพาะ จะทำให้ดินแน่น พืชเติบโตได้ไม่ดี
3. กล้าควรแข็งแรง อายุไม่เกิน 30วัน เมื่อย้ายปลูก
4. ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ตามคำแนะนำ
5. ก่อนใส่ปูนขาวหรือดินโดโลไมค์ต้องวัด pH ก่อนช่วงเตรียมดิน
6. หลังย้ายกล้าในฤดูฝนให้ระวังหนอนกระทู้ดำและจิ้งหรีด
การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอต่อการเจริญเติบโต การให้ไม่ควรมากเกินไป อาจทำให้เกิดโรคโคนเน่า
การให้ปุ๋ย หลังปลูก 7 วันใส่ปุ๋ย 46 – 0 – 0 หรือผสม 15 – 15 – 15 อัตรา 50กก./ไร่ อย่างละครึ่ง พร้อมกำจัดวัชพืช
หลังปลูก 20 - 25 วัน ใส่ปุ๋ย13 – 13 – 21 พร้อมกำจัดวัชพืช ขุดร่องลึก 2 – 3 ซม.รัศมีจากต้น10 ซม.
โรยปุ๋ย1/2 ช้อนโต๊ะ กลบดินแล้วรดน้ำ
ข้อควรระวัง
1. ควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tipbrun)
บางพื้นที่มีปัญหาขาดธาตุรอง
2. การพรวนดิน ระวังอย่ากระบทกระเทือนรากหรือต้นเพราะจะมีผล ต่อการเข้าปลีที่ไม่สมบูรณ์
3. ควรเตรียมแปลงปลูกโดยใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักปริมาณที่มาก
4. ไม่ควรปลูกซ้ำที่
การเก็บเกี่ยว เมื่อมีอายุ ได้ ประมาณ 40 – 60 วัน หลังย้ายปลูก ใช้หลังมือกดดูถ้าหัวแน่นก็เก็บได้ (กดยุบแล้วกลับคืน
เหมือนเดิม ) ใช้มีดตัด และเหลือใบนอก 3 ใบเพื่อ ป้องกันความเสียหายในการขนส่ง หลีกเลี่ยงการเก็บ
เกี่ยวตอนเปียกควรเก็บเกี่ยวตอนบ่ายหรือค่ำ แล้วผึ่ง ลมในที่ร่ม และคัดเกรดป้ายปูนแดงที่รอยตัด เพื่อป้อง
กันการแพร่เชื้อโรคเข้าสู่หัวอย่าล้างผัก บรรจุลงลังพลาสติก
ข้อควรระวัง
1. ในฤดูฝนเก็บเกี่ยว ก่อนผักโตเต็มที่ 2 – 3 วัน เพราะเน่าง่าย
2. เก็บซากต้นนำไปเผาหรือฝังลึกประมาณ 1 ฟุต ป้องกันการระบาดและสะสมโรคในแปลงปลูก
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญในระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโต
ระยะการเจริญเติบโต/ ระยะหยอดเมล็ด ระยะการเจริญเติบโต ระยะห่อหัว ระยะเก็บเกี่ยว
โรคและแมลง 0-25 วัน 20 - 25 วัน 30-35 วัน 50-55 วัน
หนอนกระทู้ดำ x x
หนอนชอนใบ x x x x
หนอนกินใบ x x x
โรคใบจุดเซอคอส x x x
โรคใบจุดเชพโต x x x
โรคต้น/หัวเน่า x x
ปลายใบไหม้ x x x
ช่วงเวลาที่มีผลผลิต : ม.ค. - ธ.ค.
เอกสารอ้างอิง : หนังสือเรื่องการปลูกผักบนพื้นที่สูง มูลนิธิโครงการหลวง