องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน - HKM

ปางมะกล้วย ชุมชนไม้มีค่า

“ถ้ายังทำอาชีพเดิม จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในบ้านและส่งลูกเล่าเรียน” ชุมชนบ้านปางมะกล้วย หมู่ที่ 2 ตำบลป่าแป๋ มีประชากร 358 ครัวเรือน 843 คน มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่สำคัญ โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จ ณ ตำบลป่าแป๋ และทรงปลูก “ต้นไม้ของพ่อ” ชุมชนจึงมีศรัทธาและแรงบันดาลใจในการดูแลรักษาป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ ชุมชนบ้านปางมะกล้วยมีวิถีชีวิตผูกพันกับอาชีพการเกษตร ปลูกชาเมี่ยง (ชาอัสสัม) เป็นพืชหลัก ทำการแปรรูปทำเมี่ยงหมัก ซึ่งสร้างรายได้สูงให้กับชุมชนในอดีต แต่ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคเมี่ยงลดลง ส่งผลให้ราคาชาเมี่ยงตกต่ำ เกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในครัวเรือน เกิดภาวะหนี้สิน ชาวบ้านบางส่วนจึงตัดสินใจตัดต้นชาเมี่ยงเพื่อปลูกพืชใหม่อื่น ๆ สร้างรายได้ทดแทน เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในชุมชนที่ต้องการอนุรักษ์กับปลูกพืชชนิดใหม่ ส่วนชาวบ้านที่เข้าไปตัดต้นไม้ในป่าเมี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง อุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา-แม่แสะ ถือเป็นการทำผิดกฎหมาย จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เปิดการเรียนรู้

พฤษภาคม 2568

สถานที่

ชุมชนบ้านปางมะกล้วย หมู่ที่ 2 ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

โดย

โครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง "ป่าแป๋"

“ถ้ายังทำอาชีพเดิม จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในบ้านและส่งลูกเล่าเรียน” ชุมชนบ้านปางมะกล้วย หมู่ที่ 2 ตำบลป่าแป๋ มีประชากร 358 ครัวเรือน 843 คน มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่สำคัญ โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จ ณ ตำบลป่าแป๋ และทรงปลูก “ต้นไม้ของพ่อ” ชุมชนจึงมีศรัทธาและแรงบันดาลใจในการดูแลรักษาป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ ชุมชนบ้านปางมะกล้วยมีวิถีชีวิตผูกพันกับอาชีพการเกษตร ปลูกชาเมี่ยง (ชาอัสสัม) เป็นพืชหลัก
ทำการแปรรูปทำเมี่ยงหมัก ซึ่งสร้างรายได้สูงให้กับชุมชนในอดีต แต่ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคเมี่ยงลดลง ส่งผลให้ราคาชาเมี่ยงตกต่ำ เกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในครัวเรือน เกิดภาวะหนี้สิน ชาวบ้านบางส่วนจึงตัดสินใจตัดต้นชาเมี่ยงเพื่อปลูกพืชใหม่อื่น ๆ สร้างรายได้ทดแทน เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในชุมชนที่ต้องการอนุรักษ์กับปลูกพืชชนิดใหม่ ส่วนชาวบ้านที่เข้าไปตัดต้นไม้ในป่าเมี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง อุทยานแห่งชาติสุเทพ-ปุย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา-แม่แสะ ถือเป็นการทำผิดกฎหมาย จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส). ร่วมกับชุมชนและหน่วยงานในท้องถิ่น หาแนวทางในการให้คนอยู่ร่วมกับป่า โดยไม่บุกรุกหรือตัดทำลาย ขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มมูลค่าของป่าไม้จากการอนุรักษ์และต่อยอดพืชท้องถิ่นดั้งเดิม สร้างรายได้ให้ชุมชน ด้วยการดูแลรักษาป่าเมี่ยงและแปลงมูลค่าต้นไม้เป็นมูลค่าคาร์บอนเครดิต สร้างรายได้คืนสู่ชุมชน เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจ พบว่า ต้นไม้ในป่าเมี่ยงที่อนุรักษ์ไว้ สร้างคุณค่าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก (ภาคป่าไม้และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว) ในเก็บกักคาร์บอนได้จำนวน 7,406.578 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และชุมชนได้รับการจ่ายค่าตอบแทนบริการระบบนิเวศ (PES) ในรูปแบบกลไกการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนของชุมชน จากภาครัฐ ภาคเอกชน คิดเป็นมูลค่า 50,000 บาท ทำให้ชุมชนบ้านปางมะกล้วยเป็นชุมชนต้นแบบด้านบริหารจัดการพื้นที่ในบริบทชุมชนป่าเมี่ยงของภาคเหนือ

A = จุดเริ่มต้น B = แหล่งเรียนรู้

ชุมชนบ้านปางมะกล้วย หมู่ที่ 2 ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีประชากร 364 ครัวเรือน 836 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยพื้นเมืองและชนเผ่ากระเหรี่ยง พื้นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่แตง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา-แม่แสะ ขอบเขตพื้นที่หมู่บ้าน 16,087 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 274 ไร่ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ 8,719 ไร่ พื้นที่เกษตรกรรม 6,323 ไร่ และพื้นที่อื่น ๆ 772 ไร่ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และเป็นป่าต้นน้ำ ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 800-1,300 เมตร ส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยการปลูกชาเมี่ยง หรือชาอัสสัมซึ่งเป็นพืชดั้งเดิมมาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นพืชหลัก (ร้อยละ 90 ของพื้นที่ทำกิน) ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เป็นการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน และเป็นการดูแลรักษาฟื้นฟูป่าในพื้นที่ทำกินของเกษตรกรเอง นอกจากนี้ มีการนำใบเมี่ยงมาแปรรูปเป็นเมี่ยงหมัก ซึ่งในอดีตถือเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้สูงให้กับชุมชน แต่ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคเมี่ยงลดลง ส่งผลให้ราคาชาเมี่ยงตกต่ำ เกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในครัวเรือน เกิดภาวะหนี้สิน ชาวบ้านบางส่วนจึงตัดสินใจตัดต้นชาเมี่ยงเพื่อปลูกพืชใหม่อื่น ๆ สร้างรายได้ทดแทน เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนในชุมชนที่คิดต่าง ซึ่งกลุ่มหนึ่งต้องการอนุรักษ์กับอีกกลุ่มหนึ่งต้องการจะตัดต้นไม้เพื่อปลูกพืชชนิดใหม่ ส่วนชาวบ้านที่เข้าไปตัดต้นไม้ในป่าเมี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติถือเป็นการทำผิดกฎหมาย จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ